ตกขาวสีเขียว สาเหตุบอกโรค ตกขาวแบบนี้บ่งบอกโรคอะไรได้บ้าง

428
ตกขาว

วันนี้ก็จะยังอยู่ในเรื่องของสุขภาพภายในของผู้หญิงนั้นก็คือตกขาว แต่วันนี้จะมาในบทความตกขาวสีเขียว จะมาบอกสาเหตุ โรคที่มาจากการตกขาวสีเขียว ตกขาวแบบนี้บ่งบอกโรคอะไร เพราะจริงๆแล้วตกขาวเกิดได้จากหลายสาเหตุและบางสาเหตุก็สามารถแก้ไขได้ง่ายนิดเดียว วันนี้ uHealthy.co จะมาแบ่งปันเคล็ดลับในการดูแลสุขภาพภายในของผู้หญิงให้ทุกคนดูแลตัวเองอย่างเข้าใจกันค่ะ

ตกขาวสีเขียว สาเหตุบอกโรค ตกขาวแบบนี้บ่งบอกโรคอะไรได้บ้าง

ตกขาวคือ

ตกขาว เป็นของเหลวที่ไหลออกมาจากนอกช่องคลอด แต่ไม่ใช่เลือดเพราะมันมีความข้นกว่า ของเหลวที่ไหลออกมาดังกล่าวส่วนใหญ่มักถูกสร้างขึ้นจากทางช่องคลอด หรือปากมดลูก หรืออวัยวะข้างเคียงบริเวณของปากช่องคลอด ลักษณะของตกขาวนั้นจะมีความแตกต่างกันออกไป ซึ่งขึ้นอยู่กับการเปลี่ยนแปลงของร่างกายทั้งในขณะที่อยู่ในสภาวะปกติหรือกำลังเป็นโรคบางโรคอยู่

ตกขาวสีเขียวคือ

ตกขาวสีเขียว มักเกิดจากการติดเชื้อTrichomonas vaginalis ทำให้มีอาการคัน, แสบ, แดง และเจ็บที่บริเวณอวัยวะเพศ บางรายอาจมีอาการปัสสาวะแสบขัดร่วมด้วย การมีตกขาวผิดปกติ เช่น ตกขาวเป็นสีเหลืองหรือสีเขียวที่มีปริมาณมากขึ้น อีกทั้งยังมีกลิ่นเหม็นเปรี้ยวเล็กน้อย มีลักษณะเป็นฟอง ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของการติดเชื้อชนิดนี้โดยเฉพาะ นอกจากนี้แล้วยังอาจจะเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียบางชนิด โดยถ้าหากตกขาวเป็นสีเขียวแต่เราไม่มีอาการคัน ไม่มีกลิ่นเหม็น ให้ลองสังเกตตอนที่ตกขาวออกมาใหม่ ๆ ถ้าเป็นสีขาว แล้วไม่มีกลิ่นเหม็น แต่หากออกมาถูกอากาศข้างนอกแล้วเปลี่ยนเป็นสีเหลืองหรือเขียว อาจจะสรุปได้ว่าเป็นตกขาวปกติที่ไม่จำเป็นต้องรักษาก็ได้ เพราะว่าตกขาวที่มีฤทธิ์เป็นกรดโดนกับอากาศก็จะทำปฏิกริยาทำให้มีการเปลี่ยนสีได้

หากมีอาการมีเมือกสีเขียวอ่อนไหลออกมา โดยวันเเรกๆออกมาในปริมาณมากเหมือนเมือกใสก่อนมีประจําเดือน และปริมาณของเมือกสีเขียวค่อยๆลดน้อยลง เเต่ไม่หายสักที

การวินิจฉัยที่เป็นไปได้มีดังนี้

  • ช่องคลอดอักเสบจากเชื้อการติดเชื้อแบคทีเรีย (แบคทีเรียหรือโพรโทซัว) ตกขาวของเราก็จะเป็นสีเหลืองขุ่นและก็จะมีกลิ่นคาวปลาซึ่งบางรายก็อาจจะมีอาการคันร่วมด้วยซึ่งส่วนใหญ่มักเกิดจากการได้รับแบคทีเรียจากการที่เรามีเพศสัมพันธ์นั้นเอง
  • ติดเชื้อรา ซึ่งเราจะสังเกตได้เลยว่าการติดเชื้อรา มันก็จะเกิดจากการที่เราใช้ยาปฏิชีวนะเป็นระยะเวลาที่ติดต่อกันนานนั่นเอง อย่างเช่น คนไหนที่มีโรคประจำตัวเวลาทานยาเพื่อรักษาโรคประจำตัวมันก็อาจต้องทานต่อเนื่อง บางคนอาจเป็นปีๆมันก็ทำให้เกิดภูมิต้านทานต่ำมันก็สามารถทำให้เกิดการติดเชื้อราได้นั่นเอง ซึ่งตกขาวจะมีลักษณะเป็นสีเหลือง หรือสีเขียวเป็นก้อนๆแล้วก็จะมีกลิ่นคล้ายนมบูด บางรายอาจจะมีอาการแสบคันหรือถ้าเป็นหนักๆมากๆมันก็จะลามไปถึงขาหนีบได้นั่นเอง อันนี้วินิจฉัยได้เลยว่าเราติดเชื้อรานั่นเอง
  • แพ้สารเคมี เช่น สารต่างๆในผ้าอนามัย การใช้ถุงยางอนามัย หรือการสรวนล้างช่องคลอด

 

สรุปคือถ้าเป็นตกขาวสีเขียว แล้วมีกลิ่นผิดปกติ วินิจฉัยได้ว่าน่าจะเป็นการติดเชื้อแบคทีเรียหรือโพรโทซัวในช่องคลอดมากที่สุด

แต่อย่างไรก็ตามเราไม่สามารถวินิจฉัยโรคได้จากประวัติเพียงอย่างเดียว การตรวจร่างกายและนำตกขาวไปตรวจนั้นก็สำคัญมากเช่นกัน แนะนำให้ไปพบสูตินรีแพทย์เพื่อทำการตรวจเพิ่มเติม และไม่ควรปล่อยไว้ให้นาน หรือหาซื้อยามารับประทานเองเพราะยาที่ได้มาอาจจะไม่ใช่ยาที่ตรงโรคซึ่งจะทำให้เชื้อดื้อยามากขึ้นอีกด้วย

วิธีการสังเกต

ให้สังเกตอาการถ้าหากคันช่องคลอดมากๆ แล้วตกขาวมีเลือดปน รู้สึกบวมหรือปวดบริเวณช่องคลอดหรือปากช่องคลอดเอามาก และมีเลือดออกมากผิดปกติจากช่องคลอด มีอาการร่วมกับปัสสาวะแสบขัดหรือปนเลือดแนะนำให้ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยอย่างละเอียด

การดูแลตัวเองเบื้องต้น

การดูแลตัวเองเบื้องต้น ไม่ควรสวนล้างช่องคลอดเอง ให้ใช้น้ำเปล่าที่สะอาดหรือน้ำสบู่อ่อนๆทำความสะอาดบริเวณอวัยวะเพศภายนอกอย่างเดียวเท่านั้น และควรงดการมีเพศสัมพันธ์

กล่าวโดยสรุป

ตกขาว เป็นของเหลวที่ไหลออกมาจากนอกช่องคลอด แต่ไม่ใช่เลือดเพราะมันมีความข้นกว่า ของเหลวที่ไหลออกมาดังกล่าวส่วนใหญ่มักถูกสร้างขึ้นจากทางช่องคลอด หรือปากมดลูก หรืออวัยวะข้างเคียงบริเวณของปากช่องคลอด ตกขาวสีเขียว มักเกิดจากการติดเชื้อTrichomonas vaginalis ทำให้มีอาการคัน, แสบ, แดง และเจ็บที่บริเวณอวัยวะเพศ บางรายอาจมีอาการปัสสาวะแสบขัดร่วมด้วย การมีตกขาวผิดปกติ เช่น ตกขาวเป็นสีเหลืองหรือสีเขียวที่มีปริมาณมากขึ้น อีกทั้งยังมีกลิ่นเหม็นเปรี้ยวเล็กน้อย มีลักษณะเป็นฟอง ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของการติดเชื้อชนิดนี้โดยเฉพาะ ทั้งหมดนี้ก็ถือว่าเป็นสาระน่ารู้สำหรับเรื่องของตกขาวสีเขียวซึ่งสาวๆสามารถวินิจฉัยได้ด้วยตัวเองว่าเรามีอาการแบบไหนแล้วก็จะได้รักษาอาการของเราได้อย่างถูกต้องนั่นเองแต่เพื่อความมั่นใจแนะนำให้ปรึกษาสูตินารีแพทย์จะดีที่สุดค่ะ

แล้วพบกันใหม่กับสาระดี ๆในบทความเพื่อสุขภาพ เรื่องราวการดูแลสุขภาพจาก uHealthy.co  ในบทความต่อไปกันนะคะ